วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

การปลูกทานตะวัน


การเตรียมดินสำหรับปลูกดอกทานตะวัน
การเตรียมดินก่อนปลูก ควรไถดินให้ลึกในระดับ 30 เซนติเมตร หรือลึกกว่านั้น เพราะว่าเมื่อฝนตกดินจะสามารถรับน้ำให้ซึมซับอยู่ในดิน ได้มากขึ้น การไถดินลึกจะช่วยทำลายการอัดแน่นของดินในชั้นไถพรวน ทำให้น้ำซึมลงในดินชั้นล่างได้มากขึ้น ควรกำจัดวัชพืชในแปลงให้สะอาด และไถย่อยดินครั้งสุดท้ายให้ร่วนซุย หากมีการใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักลง ไปพร้อมกับการย่อยดินครั้งสุดท้ายจะช่วยเสริมธาตุอาหารต่าง ๆ เพื่อให้ พืชนำไปใช้ประโยชน์

วิธีการปลูกดอกทานตะวัน
หลังจากเตรียมดินเสร็จแล้ว ควรทำร่องสำหรับหยอดเมล็ดโดยให้แต่ละร่องห่าง กัน 70-75 เซนติเมตร และให้หลุมปลูกในร่องห่างกัน 25-30 เซนติเมตร หยอดหลุม ละ 2 เมล็ด แล้วกลบดินโดยให้เมล็ดอยู่ลึก 5-8 เซนติเมตร เมื่อพืชงอกได้ 10 วัน หรือมี ใบจริง 2-4 คู่ให้ถอนแยกเหลือไว้เฉพาะต้นที่แข็งแรงเพียงหลุมละ 1 ต้น และถ้าหากดิน มีความชื้นต่ำควรใช้ระยะปลูกกว้างขึ้น การยกร่องนี้ เพื่อเป็นการสะดวกในการให้น้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกในฤดูแล้งที่ต้องการน้ำมาก ส่วนการปลูกในฤดูฝน ถ้าเป็นดิน ที่มีการระบายน้ำดีก็ไม่จำเป็นต้องยกร่องและใช้ระยะปลูกเช่นเดียวกับยกร่อง การปลูกวิธี นี้ ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ลูกผสมจำนวน 0.7 กิโลกรัมต่อไร่ และปลูกตามระยะที่แนะนำนี้จะได้ จำนวนต้น6,400-8,500 ต้นต่อไร่


วิธีการใส่ปุ๋ยดอกทานตะวัน
ทานตะวันเป็นพืชที่ให้โปรตีน และแร่ธาตุสูง จึงควรใส่ปุ๋ยในปริมาณที่ พืชต้องการตามสภาพดินที่ปลูกด้วยสำหรับปุ๋ยเคมีที่เหมาะสมที่แนะนำคือ สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-8 อัตรา 30-50 กิโลกรัมต่อไร่ โดยใส่รองพื้นพร้อม ปลูกและใช้ปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 อัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่เมื่อทานตะวันอายุได้ 30 วัน หรือมีใบจริง 6-7 คู่ ซึ่งเป็นระยะกำลังจะออกดอก หากมีการตรวจวิ เคราะห์ดินก่อนปลูก จะช่วยให้การใช้ปุ๋ยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและในกรณี ที่เป็นดินทรายและขาดธาตุโบรอน ควรใส่ผงโบแรกซ์ประมาณ 2 กิโลกรัมต่อ ไร่ จะทำให้เพิ่มผลผลิตได้มากและทำให้คุณภาพของเมล็ดทานตะวันดีขึ้น

การให้น้ำดอกทานตะวัน
น้ำเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลกระทบต่อการผลิตทานตะวัน หากความชื้น ในดินมีน้อยก็จะทำให้ผลผลิตลดลงด้วย การให้น้ำที่เหมาะสมแก่ทานตะวัน จึงจะทำให้ได้รับผลผลิตดีด้วย ดังนั้นการให้น้ำควรปฏิบัติดังนี้ ครั้งที่ 1 หลังจากปลูกเสร็จแล้วรีบให้น้ำทันที หรือควรทำการปลูกทันที หลังฝนตกเพื่อใช้ความชื้นในดินให้เต็มที่โดยไม่ต้องรดน้ำ ครั้งที่ 2 ระยะมีใบจริง 2 คู่ หรือประมาณ 10-15 วัน หลังงอก ครั้งที่ 3 ระยะเริ่มมีตาดอก หรือประมาณ 30-35 วัน หลังงอก ครั้งที่ 4 ระยะดอกเริ่มบาน หรือประมาณ 50-55 วัน หลังงอก ครั้งที่ 5 ระยะกำลังติดเมล็ด หรือประมาณ 60-70 วัน หลังงอก การให้ น้ำควรให้น้ำอย่างเพียงพอให้ดินชุ่ม แต่ไม่ต้องถึงกับแฉะและน้ำขังการให้น้ำ ควรคนึงถึงความชุ่มชื้นในดินด้วย ไม่ควรปล่อยให้ดินแห้งมาก โดยเฉพาะ อย่างยิ่งช่วงแรกของการเจริญเติบโตจนถึงระยะติดเมล็ด


วิธีการกำจัดวัชพืชของดอกทานตะวัน
ควรกำจัดวัชพืชอย่างน้อย 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อทานตะวันมีใบจริง 2-4 คู่ ซึ่งการทำรุ่นครั้งแรกนี้ทำพร้อมกับการถอนแยกต้นพืชให้เหลือ 1 ต้นต่อหลุม เป็นการสะดวกสำหรับเกษตรกรในการปฏิบัติ และครั้งที่สองทำพร้อมกับการ ใส่ปุ๋ยครั้งที่สอง เมื่อทานตะวันมีใบจริง 6-7 คู่ ทำรุ่นพร้อมกับใส่ปุ๋ยและพูนโคน ต้นไปด้วย ในแปลงที่มีปัญหาวัชพืชขึ้นรบกวน ควรทำการกำจัดวัชพืชเพื่อป้อง กันการแย่งอาหารและความชื้นในดินตั้งแต่ต้นยังเล็กหรือใช้สารเคมีคุมกำเนิด หรือใช้สารเคมีคุมกำเนิดพวกอะลาคลอร์ หรือเมโธลาคลอร์ฉีดพ่นหลังหยอด เมล็ดก่อนที่จะงอกในอัตรา 300-400 ซีซี ผสมน้ำ 4 ปิ๊บสำหรับฉีดพ่นในเนื้อที่ ปลูก 1 ไร่ โดยฉีดให้สม่ำเสมอกันสามารถคุมการเกิดวัชพืชได้นานถึง 2 เดือน และควรใช้แรงงานคน สัตว์ หรือเครื่องทุ่นแรง ทำรุ่นได้ตามความจำเป็น ข้อ ควรระวังห้ามใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชอะทราซีนในทานตะวันโดยเด็ดขาด



การเก็บเกี่ยวดอกทานตะวัน
ทานตะวันจะมีอายุการเก็บเกี่ยวแตกต่างกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ที่ปลูก (พันธุ์ลูกผสม อายุเก็บเกี่ยว 90-100 วัน)วิธีการเก็บเกี่ยวนั้นให้สังเกตจากด้าน หลังของจานดอกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองซึ่งเป็นช่วงการสร้างน้ำมันในเมล็ดจะ เริ่มลดลง และจะหยุดสร้างน้ำมันเมื่อจานดอกเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลก็เริ่มเก็บเกี่ยว ได้ หลังจากนั้นให้นำไปผึ่งแดดจัด ๆ 1-2 แดด โดยแขวนให้หัวห้อยลงและหมั่น กลับช่อดอก เพื่อให้ดอกแห้งอย่างสม่ำเสมอถ้าเก็บเกี่ยวในช่วงที่ยังมีฝนชุกให้นำ มาผึ่งในร่มหลาย ๆ วันจนแห้งสนิท แล้วจึงรวบรวมไปนวด อาจใช้แรงคนหรือสัตว์ หรือใช้เครื่องนวดเมล็ดถั่วเหลืองหรือถั่วลิสงก็ได้ เสร็จแล้วนำไปทำความสะอาด แล้วเก็บไว้ในยุ้งฉางที่ป้องกันแดด-ฝน และแมลงศัตรูได้ เพื่อรอจำหน่าย (ความชื้นของเมล็ดที่จะเก็บรักษาไว้ ควรไม่เกิน 10%) การให้ผลผลิต การปลูก ทานตะวันในพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ มีการบำรุงรักษาดีจะให้ผลผลิตไม่ต่ำกว่า 300 กิโลกรัมต่อไร่ แต่โดยเฉลี่ยประมาณไม่ต่ำกว่า 200 กิโลกรัมต่อไร


ประโยชน์ของดอกทานตะวัน
ประโยชน์ของดอกทานตะวัน ทานตะวันเป็นพืชน้ำมันที่ บทบาทสำคัญเป็นที่ต้องการของตลาดโลก และตลาดภายในประเทศ นอกจากนี้เมล็ดทานตะวันยังมีธาตุเหล็กสูง และมีโซเดียมต่ำอีกด้วย วิตามินเอ ที่มีมากในเมล็ดทานตะวันช่วยบำรุงสายตา ผิวหนัง และต่อ ต้านโรคมะเร็งในขณะที่วิตามินอี ช่วยบำรุงรักษาเลนส์ของแก้วตา ช่วยชะลอความแก่ของผิวหนัง ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ดังนั้น วิตามินที่ได้จากธรรมชาติทั้ง 2 ชนิดนี้จะมีคุณค่าและประโยชน์อย่าง ยิ่งต่อดวงตา ผลผลิตของทานตะวันสามารถนำไปดัดแปลงเป็นอาหาร ได้หลายชนิด เช่น เมล็ดทานตะวันอบแห้งคุ้กกี้ทานตะวัน ทานตะวัน แผ่น เป็นต้นลำต้นหรือจานดอกของทานตะวันเมื่อนำไปเผาให้เป็นขี้ เถ้าแล้วสามารถนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิง ในอุตสาหกรรมการหลอมเหล็ก ได้อีกด้วย ประโยชน์ของดอกทานตะวันจำแนกได้ดังนี้ ภาคอุตสาหกรรม น้ำมันทานตะวันสำหรับบริโภค ทำสบู่ อุตสาหกรรม ฟอกสี เคลือบผิวผลไม้ ในลักษณะขี้ผึ้งเช่น ทำเทียนไข หรือเครื่องสำอางค์ และนำไปแปรรูปเป็นผลิตภันฑ์ต่างๆ เช่น เนยเทียม น้ำมันสลัด ครีม และ นมที่มีไขมัน ใช้บริโภคโดยตรง เช่น ใช้เมล็ดมาคั่วอบเกลือหรือนำเมล็ดที่ สมบูรณ์มากะเทาะเปลือกเอาเนื้อไปปรุงแต่งรสชาด กากนำไปใช้เป็นอาหาร สัตว์ นำไปทำ Lecithin เพื่อใช้ในทางการแพทย์ ในการลดโคเลสเตอรอลใน คนไข้ ที่มีโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด คุณประโยชน์ของเมล็ดทานตะวัน - ป้องกันและต่อต้านสารเคมีที่เป็นพิษที่จะก่อให้เกิดมะเร็งในปาก - ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด - เพิ่มการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น

ลักษณะของทานตะวัน


ชื่อวิทยาศาสตร์:  Helianthus annuus
ชื่อวงศ์:  COMPOSITAE
ชื่อสามัญ:  Sunflower
ลักษณะทั่วไป:
    ต้น  เป็นพรรณไม้ล้มลุก ที่อายุเพียง 1 ปี ลักษณะของลำต้นเป็นแกนแข็ง ตั้งตรง มีขนขึ้นเป็นกลายแข็ง ลำต้นมีความสูงประมาณ 3-3.5 เมตร
    ใบ  มีลักษณะเป็นรูปกลมรี โคนใบโค้งเว้าเป็นรูปหัวใจ ส่วนปลายใบแหลม ริมขอบใบหยักย่อยเป็นแบบฟันปลา บริเวณหลังและใต้ท้องใบ มีขนสากขึ้นประปราย ใบมีขนาดยาวประมาณ 4-12 นิ้ว กว้างประมาณ 3.5-10 นิ้ว ก้านใบยาว
    ดอก  ดอกออกเป็นช่อ หรือเป็นกระจุก ขนาดใหญ่จะออกบริเวณยอด หรือรอบ ๆ ลำต้น ลักษณะของดอกเป็นดอกสมบูรณ์เพศ ตรงกลางดอกเป็นเกสรตัวเมีย 1 อัน และเกสรตัวผู้ 5 อัน กลีบดอกวงในมีสีเหลือง ส่วนกลีบดอกวงนอกมีสีเหลืองอ่อน หรือเหลืองทอง มีขนาดยาวประมาณ 1-4 นิ้ว ฐานดอกมีสีเขียวเชื่อมติดกัน
    ฝัก/ผล  มีลักษณะเป็นรูปกลมรี มีสีขาว สีเทา หรือสีดำ ขนาดยาวประมาณ 6-17 มม.
    เมล็ด  มีเมล็ด เพียง 1 เมล็ดเป็นสีเหลืองอ่อน
การปลูก:  ปลูกเป็นแปลง
การดูแลรักษา:  ต้องการแสงแดดจัด   ขึ้นได้ดีในดินร่วนปนทราย  ระบายน้ำได้ดี  ต้องการน้ำปานกลาง
การขยายพันธุ์:  เพาะเมล็ด
การใช้ประโยชน์:
    -    ไม้ประดับ
    -    สมุนไพร
    -    เมล็ด ใช้บริโภคโดยตรง เพื่อเป็นแหล่งโปรตีนแทนเนื้อสัตว์ได้ในเมล็ด มีธาตุเหล็กสูงไม่แพ้ธาตุเหล็กจากไข่แดงและตับสัตว์เมื่อบดทำ แป้งจะได้แป้งสีขาว มีไขมันสูง มีโปรตีนมากกว่าร้อยละ 50 ของปริมาณแป้ง
    -    เปลือกของลำต้น มีลักษณะเหมือนเยื่อไม้นำมาทำกระดาษสีขาวได้คุณภาพดี
    -    ลำต้นใช้ทำเชื้อเพลิงได้ เมื่อไถกลบจะเป็นปุ๋ยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินได้ดี
    -    ราก ใช้ทำแป้งเค้ก สปาเก็ตตี้ ในรากมีวิตามินบี 1 และธาตุอีกหลายชนิด แพทย์แนะนำ ให้ใช้รากทานตะวันประกอบอาหารสำ หรับผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
    -    น้ำมัน น้ำมันที่สกัดจากเมล็ดจะให้ปริมาณน้ำมัน สูงถึงร้อยละ 35 และได้น้ำมันที่มีคุณภาพสูง ประกอบด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวเช่น กรดลิโนเลอิค หรือกรดลิโนเลนิค สูงถึงร้อยละ 60-70 ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในการช่วยลดคลอเรสเตอรอลที่เป็นสาเหตุของโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได ้และยังประกอบด้วยไวตามิน เอ ดี อี และเค ซึ่งคุณภาพของไวตามินอีจะสูงกว่าในนํ้ามันพืชอื่น ๆ เมื่อเก็บไว้เป็นเวลานานจะไม่เกิดกลิ่นหืน ทั้งยังทำ ให้สีกลิ่น และรสชาติไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากใช้เป็นนํ้ามันพืชแล้วยังนิยมใช้ในอุตสาหกรรม ทำ เนยเทียม สี นํ้ามันชักเงา สบู่ และนํ้ามันหล่อลื่นเครื่องยนต์
    -    กาก กากที่ได้จากการสกัดนํ้ามันออกแล้ว จะนำ ไปใช้เป็นส่วนผสมของอาหารสัตว์ได้ ในกากเมล็ดทานตะวันที่กะเทาะเปลือกและบีบนํ้ามันออกแล้ว จะมีโปรตีนร้อยละ 42 และใช้เป็นแหล่งแคลเซียมสำ หรับปศุสัตว์ได้ดีแต่จะมีปริมาณกรดอะมิโนอยู่เล็กน้อย และขาดไลซีน จึงต้องใช้อย่างรอบคอบ เมื่อจะเอาไปผสมเป็นอาหารสัตว์ที่มิใช่สัตว์เคี้ยวเอื้อง
ถิ่นกำเนิด:  อเมริกาตะวันตก
ส่วนที่ใช้บริโภค: เมล็ด
การปรุงอาหาร:  เมล็ดทานตะวันอบแห้ง คุ้กกี้ทานตะวัน ทานตะวันแผ่น
สรรพคุณทางยา: 
    -    ดอก ใช้เป็นยาแก้หลอดลมอักเสบ แก้วิงเวียนศีรษะ ช่วยขับลม บีบมดลูก ทำให้ตาสดใส และรักษาใบหน้าตึงบวม ฐานรองดอก เป็นยาแก้อาการปวดรอบเดือน ปวดศีรษะ ตาลาย ปวดฟัน ปวดท้อง เนื่องจากโรคกระเพาะอักเสบ และแก้อาการปวดบวมฝี เป็นต้น แกนลำต้น เป็นยาแก้โรคนิ่วในไต นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ปัสสาวะเป็นโลหิต ปัสสาวะขุ่นขาว ช่วยขับปัสสาวะได้ดี ไอกรน และยังเป็นยาช่วยรักษาบริเวณแผลที่มีโลหิตออก เป็นต้น
    -    ใบ เป็นยาแก้โรคเบาหวาน และโรคหอบหืด
    -    เมล็ด ในเมล็ดมีน้ำมันประมาณ 50% และมี linoleic acid 70phosphatide, phospholipid, B-sitosterol น้ำมันในเมล็ดสามารถช่วยลดไขมันในเส้นโลหิต เป็นยาแก้หวัด แก้ไอ ขจัดเสมหะ ช่วยขับปัสสาวะ ขับหนองใน แก้ฝีฝักบัว แก้โรคบิด และยังช่วยแก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นต้น
    -    เปลือกเมล็ด มีน้ำมัน 5.17% ขี้ผึ้ง 2.96% โปรตีน 4% และมี cellulose, pentosan และ lignin ใช้เป็นยารักษาแก้อาการหูอื้อ
    -    ราก เป็นยาแก้ระบาย ขับพยาธิไส้เดือน ขับปัสสาวะ และแก้อาการฟกช้ำ ปวดท้องแน่นหน้าอก เป็นต้น





*เมื่อออกดอกแล้วดอกจะหันไปทางทิศตะวันออก เป็นการทานตะวัน ไม่หันไปทางทิศอื่น จึงได้ชื่อว่า ดอกทานตะวัน

ที่มา : http://www.nanagarden.com/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99-10156-13.html